ไอ้เตี้ย (๕)
- ๕.
- วันนั้นฉันกลับมาจากข้างนอกเห็นนังเตี้ยเดินอยู่ตัวเดียว
ฉันมองหาไอ้เตี้ยแต่ไม่เห็นจึงทำเสียงเรียกก๊อก ๆ
เป็นเสียงที่ใช้เรียกพวกมันมากินข้าวสารที่โปรยให้
มีแต่นังเตี้ยที่ถลาเข้ามา
ฉันออกเดินหา
พบไอ้เตี้ยที่ไม่ใช่ไอ้เตี้ยกองอยู่ในพงหญ้าริมรั้ว
ที่ว่าไม่ใช่ไอ้เตี้ยเพราะไอ้เตี้ยตอนนี้ไม่มีสภาพเดิมหลงเหลือ
- ขนที่เคยเรียบเป็นมันขลับกลับยับเยิน
ดวงตาบวมจนปิดทั้งสองข้าง
หงอนที่เคยแดงสดกลายเป็นสีน้ำตาลช้ำเลือดช้ำหนอง
ไอ้เตี้ยอยู่ในสภาพงอมพระรามล่อแล่เจียนอยู่เจียนตาย
ฉันรีบพามันไปหาลุงจิต
ลุงจิตบอกว่า “สงสัยมันชนกับไก่ชนบ้านผู้ใหญ่”
ถัดจากรั้วกระท่อมเป็นเขตบ้านผู้ใหญ่ชอบ
ผู้ใหญ่เลี้ยงไก่ชนไว้หลายตัวแต่ปล่อยให้มันออกหาอาหารเอง
ไม่ได้ประคบประงมเหมือนไก่ชนทั่วไป
บ่อยครั้งที่พวกมันเลาะริมรั้วเข้ามาหากินแถว ๆ กระท่อม
ไอ้เตี้ยเจอเข้าคงต่อสู้ไม่ยอมหนี
ลุงจิตบอกว่าหากมันสู้ไม่ได้แล้ววิ่งหนีก็จะไม่สะบักสะบอมเช่นนี้
นี่มันคงสู้สุดฤทธิ์ แต่เมื่อเทียบขนาดตัวกันแล้วไอ้เตี้ยก็ไม่ต่างจาก
เด็กเล็ก ๆ ชกต่อยกับผู้ใหญ่ประตูชนะถูกปิดตาย
มีก็แต่หัวใจนักสู้ของมัน
ฉันไม่อาจทนดูสภาพไอ้เตี้ยในยามนั้น
ด้วยคิดว่ามันไม่รอดแน่แล้ว
ฉันฝากไว้ให้ลุงจิตช่วยรักษา
หากไม่รอดก็แล้วไป
กลับมาที่กระท่อมเห็นนังเตี้ยเดินจิกอาหารอยู่ตัวเดียวก็ให้นึกสงสาร
มันสองตัวไม่เคยห่างกันทั้งกลางวันกลางคืน
ฉันเองก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป
สองสามวันต่อมา
ลุงจิตเอาไอ้เตี้ยมาส่ง
มันยังไม่ตาย
แต่สภาพโดยรวมยังสะบักสะบอม
หงอนยังเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนองอย่างน่ากลัว
ลุงจิตบอกว่า “สักพักมันก็ฟื้น”
สักพักของลุงจิตกินเวลาร่วมเดือน
ไอ้เตี้ยฟื้นตัวขึ้นช้า ๆ ฉันเพิ่งได้เรียนรุ้ว่า
หงอนของไก่เป็นเครื่องบ่งบอกสุขภาพของมัน
หงอนไอ้เตี้ยค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงตามวันเวลาที่มันค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น
กระทั่งกลับเป็นสีแดงสดดังเดิม
ขนกลับมาดกยาวเป็นมัน งามสง่าเป็นไอ้เตี้ยตัวเดิมอีกครั้ง
ไอ้เตี้ยกลับมาขันทุกเช้าตอนตีสี่
เดินจิกอาหารไปรอบ ๆ กระท่อมโดยมีนางเตี้ยภรรยาผู้ซื้อสัตย์เดินตามต้อย ๆ
นาน ๆ ไอ้เตี้ยก็จะกระโดดขึ้นขี่หลังนังเตี้ยสักครั้ง
ค่ำลงทั้งสองเกาะคอนอิงชิดกัน
นังเตี้ยสอดหัวเข้าใต้ปีกไอ้เตี้ยแล้วทั้งคู่ก็หลับในท่านั้น
(มีต่อ)
-ธุลีดิน-
ให้ตายเถอะพับผ่า!
ผมละอิจฉาไอ้เตี้ยจังเลยวุ้ย
เหม่ๆๆ เกาะคอนนอนชิดกันกะนังเตี้ย
หน่อยเหอะ เป็นได้ตกลงมาตายทั้งคู่บ้างล่ะ