คำถามโง่ ๆ
“ฉันมันก็แค่คนโง่ ยังไม่ฉลาดพอที่จะหลอกตัวเองได้หรอกว่าเป็นคนฉลาด”
ฉันพูดเปรยๆ ภายหลังเขา-เด็กน้อยถามคำถามบ้า ๆ นั่นกับฉัน, ความจริงมันไม่บ้านักหรอก ฉันเพียงแต่ขี้เกียจควานหาคำตอบ ฉันไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะนึกคิดถึงสิ่งใดก็เท่านั้น
อะไรนะ ที่เขาถามฉันว่า พี่ชายรู้มั้ยว่า พยัญชนะตัวอะไรที่โง่ที่สุด?
มันน่าตอบไหมล่ะ?… กับห้วงยามอารมณ์ที่ฉันนึกคิดสิ่งใดไม่ออก แม้แต่หน้าที่การงานที่ฉันต้องทำ-ที่ฉันต้องเขียน
“พี่ชายก็พูดเกินไป, ฉันว่าพี่ชายฉลาดออก” เขาว่าพลางยิ้ม, ฟันสีขาวตัดกับสีผิว ฉันคิดถึงยาสีฟันยี่ห้อหนึ่งที่ตอนนี้เปลี่ยนสัญลักษณ์เป็นรูปคนผิวดำยิ้มแฉ่งอวดฟันขาวโพลนที่ข้างกล่องและหลอด
“อย่าคิดว่าคนอื่นฉลาด เพราะมันจะทำให้เรายอมรับว่าตนเองนั้นโง่-ไอ้หนู” ฉันพูดเรื่อย ๆ…มันก็ทุกครั้งละน่า พูดกับเขาทีไร มันก็เรื่อยเจื้อยเสียทุกครั้ง “หรือจะคิดว่าตัวเองฉลาด มันก็จะทำให้มองคนอื่นว่าโง่กว่าตัว”
“เขาเรียกว่า ‘โง่แล้วอวดฉลาด’ ใช่มั้ยล่ะ, ทั้งฉลาดทั้งโง่รวมกัน” เขาว่าพลางยิ้ม-เหมือนเดิม
“แล้วเธอรู้มั้ยเล่าว่าจะจัดการไอ้สองการสองความนั่นยังไง?”
เขาเงียบ-หุบยิ้ม
“ฉันจะบอกให้, บอกนะ-แต่เธอต้องคิดเอาเอง ตัดสินใจเอาเองว่าสิ่งที่ฉันพูดนั้นมันสมควรจะรับเอาไปคิดต่อไป อย่าเชื่อโดยทันที อย่าแย้งโดยทันที” ฉันเอาปลายดินสินสอที่มียางลบติดจิ้มที่หน้าผากเขาเบา ๆ “ใช้สมองคิดก่อน”
“แล้วฉันควรทำตามที่พี่บอกมั้ยล่ะ” เขาโพล่งขึ้นทันที
“หน็อยแน่ ยอกย้อนจริง” ฉันหัวเราะทันควัน “ก็ใช้หัวคิดสิ-ฉันกำลังจะบอกเธอว่า ไอ้คนอย่างฉันอย่างเธอน่ะ เกิดมาไม่ใช่คนพิกลพิการ ไม่ใช่คนสมองทึบ แต่ก็นั่นละ คนเราเกิดมามันก็ต้องมีการเรียนรู้ เรียนรู้แล้วมันจะจดจำ ส่วนไอ้ที่จะจำได้มากแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับการใส่ใจ ใส่ใจมากก็จำได้เยอะ จำได้เยอะมันก็จะมีพัฒนาการตามมา ไอ้การพัฒนานี่น่ะมันก็ยังขึ้นอยู่กับว่า เธอคิดอะไรกับสิ่งที่จดจำนั่นด้วย ไอ้สักแต่จำน่ะมันก็ย่ำอยู่กับที่”
เขาเงียบ หัวคิ้วขมวดมุ่น ส่วนฉันเองก็หยุดพูด ไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมถึงพูดอะไรได้ยาวปานนั้น, หากเขาจะคิดว่าฉันบ่นฉันพล่ามก็ยอมรับความคิดเขาละ จะไม่โต้เถียงอันใด
“หมายความว่า คนเราเกิดมาก็โง่ทุกคนเหรอ?”
“เธอให้ความหมายของคำว่าโง่ยังไงล่ะ?”
“พี่ชายก็บอกหน่อยซี่…”
“โง่สำหรับฉัน คือการปฏิเสธการเรียนรู้-หมายถึงคนปรกติอย่างฉันอย่างเธอนะ หมายถึงคนที่ไม่ได้บกพร่องทางสมอง”
“แล้วงั้นทำไมครูฉันชอบด่านักเรียนว่าโง่” เขาเงียบไม่ถึงอึดใจ “อ้อ ฉันเข้าใจละ ก็ครูเขาคิดว่าเขาฉลาดละมั้ง ทั้ง ๆ ที่เขาก็เคยเป็นเด็กเหมือน ถ้าเขาว่าฉันโง่เขาก็ต้องเคยโง่มาก่อนด้วยสิ แต่เมื่อพี่ชายบอกฉันอย่างนี้ฉันก็ไม่ว่าเขาโง่หรอก แต่ฉันก็อวดความฉลาดมากกว่าเขาไม่ได้เท่านั้นเอง”
“เรื่องบางเรื่องเธอยังไม่รู้นี่ เธอจะไปแสดงไอ้สิ่งที่เขาเรียกว่าฉลาดได้ยังไงเล่า, เอาเหอะ สักวันเมื่อเธอรู้อะไรมากขึ้น มากกว่าคนอื่นก็อย่าคิดอย่าไปว่าคนที่ด้อยกว่าเขาโง่เข้าล่ะ เธอคิดว่าเขาโง่เมื่อไหร่มันก็เท่ากับเธออวดความฉลาดของเธอออกมา, ไอ้อย่างนั้นน่ะมันไม่ทำให้อะไร ๆ ในชีวิตเธอดีขึ้นมาหรอก มีก็แต่ว่าเธอได้แต่ดูถูกคนที่ด้อยกว่าเธออยู่ร่ำไป ทั้ง ๆ ที่เขาอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคิดเอาเลย ทีนี้…ก็จะมีแต่คนที่เกลียดเธอ-เธอต้องการอย่างนั้นมั้ยล่ะ ต้องการคนเกลียดเธอมากกว่าคนที่รักเธอ”
“แล้วไอ้ที่พี่ชายบอกฉันว่า ‘ตัวเองโง่’ ล่ะ หมายความว่ายังไง?”
ฉันนั่งคิดอยู่อึดใจ, พยายามตีความหมายจากสิ่งที่ได้อ่านจากหนังสือ ในเมื่อประโยคนี้มันเกิดจากความคิดของนักประพันธ์ แน่ละ มันต้องมีความหมาย แม้ว่าฉันจะยังไม่เคยคิดลึกซึ้งเสียที เพียงแต่มองว่า เออ-มันเข้าท่า ภาษามันสวย ฉะนั้นก็เลยถือเอาโอกาสนี้แหละคิด
“ฉันบอกเธอไปแล้วใช่ไหมว่า โง่สำหรับฉันฉันคิดยังไง, ทีนี้ ไอ้ที่ฉันบอกเธอว่า ‘ฉันมันก็แค่คนโง่ ยังไม่ฉลาดพอที่จะหลอกตัวเองได้หรอกว่าเป็นคนฉลาด’ น่ะคือบางครั้งฉันก็ยังดื้อ ถือดีกับความคิดของตัวฉันเอง ใครสอนใครชี้ทางสว่างให้ก็ไม่เก็บเอามาคิดตริตรอง กว่าจะรู้ว่ามันจริงอย่างที่ว่าก็ต้องประสบกับตัวเองเสียก่อนถึงจะยอมรับคำสอนนั้น เธอรู้มั้ยล่ะว่าการดื้อหรือโง่เช่นนี้ร้ายแรง ถึงที่สุดเราอาจไม่สามารถกลับมายอมรับคำสอนนั้นชี้แนะนั้นได้เลย เพราะว่าเราหามีชีวิตไม่แล้ว”
“สรุปว่าพี่ชายก็ยังโง่อยู่?…”
“แน่นอน…เพราะฉันยังหลอกตัวไม่ได้ว่าฉันเป็นคนฉลาด”
“งั้นฉันขอเฉลยปัญหาของฉันดีกว่า คิดว่าไง ๆ พี่ชายคงไม่คิดหาคำตอบ”
“ตัวอะไรล่ะที่เธอถามฉันว่า โง่ที่สุด?”
“ก็…ตัวก.ไก่ กับ ธ.ธงยังไงเล่า” เขาเฉลยพร้อมหัวเราะลั่น แล้วหงายหลัง แล้วผุดลุกขึ้นนั่งอีก “รู้มั้ยว่าทำไม?”
ฉันยิ้มกว้างให้เขา ส่ายหน้าพัลวัน
“เพราะว่า…มัน-ไม่-มี-หัว”
เขาหัวเราะงอหงาย-หงายหลังจริง ๆ, ส่วนฉันหัวเราะสุดสุดจนท้องแข็ง-เป็นอาการหัวเราะที่ไม่ได้บังเกิดมานานเต็มทน
“ไอ้บ้าเอ๊ย!–”
…เสียงคลื่นลมทะเลผสานรับเสียงหัวทั้งของฉันและเขา ·
ด้วยความรักฯ
โจ.
๑๒ ส.ค.๕๐
“อีโธ่เอ๊ย ง่ายแค่นี้ก็ทำไม่ได้” ผมหัวเราะเยาะเพื่อนคนหนึ่ง ที่เขาประกอบชิ้นส่วนของเครื่องใช้ไฟฟ้ากลับคืนไม่ถูก
“เออ แหะ นายนี่ฉลาดจริงๆ นี่แหละน้า พยัญชนะ ง งู มันต้องมาก่อน ฉ ฉิ่ง ยังงี้นี่เอง” เขาพูดไปเรื่อยเปื่อย แต่มันทำให้ผมฉุกคิด ‘อะไรว่ะ ง งู มาก่อน ฉ ฉิ่ง’ และแล้วผมก็ถึงบางอ้อ
อ้อ โง่ ต้องมาก่อน ฉลาด นี่เอง
แหม เพื่อนมันพูดซะผมงง ได้ ง งู มาสองตัวเต็มๆ
แหม่ๆๆๆๆ
คิดกันเข้าไปได้
ดีละ จะเก็บไปสอนเด็ก