เรื่องจากปก – สันติภาพ

[เรื่องจากปก]


วันที่ ๑๖ สิงหาคมเป็นวันอะไร? เมื่อได้ยินคำถามนี้ บางคนอาจก้มมองปฏิทินแล้วตอบว่าเป็นวันพฤหัสบดี บางคนอาจส่ายหน้าพร้อมส่งแววตาฉงนฉงาย และถ้ามีใครสักคนบอกว่าวันที่ ๑๖ สิงหาคมเป็นวันสันติภาพไทย คงมีไม่กี่คนที่ร้องอ๋อ

ย้อนไปเมื่อปีพ.ศ.๒๔๘๘ วันที่ ๑๖ สิงหาคมนับเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย หลายคนอาจร้อง “โอ้โฮ! ยังไม่เกิดเลย” และคิดว่าจะสนใจไปทำไมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานแล้ว

แต่ประวัติศาสตร์ย่อมซ้ำรอยเดิมเสมอ การเรียนรู้ประสบการณ์จากเหตุการณ์ในอดีตย่อมเป็นเรื่องไม่สูญเปล่า

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นได้บุกยึดประเทศไทย และเพื่อไม่ให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงครามในขณะนั้นได้ใช้วิธีประนีประนอมโดยการยอมให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศแต่เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลไทยได้ทำสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่นและประกาศสงครามกับบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา จึงเท่ากับว่าเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ เป็นฝ่ายตรงข้ามกับฝ่ายพันธมิตรอย่างเต็มตัว

ในขณะที่บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะวิกฤติ มีคนไทยรักชาติกลุ่มหนึ่งร่วมกันก่อตั้งขบวนการลับที่ชื่อว่า ขบวนการเสรีไทย โดยมีนายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีและต่อมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ ๘ เป็นผู้นำ เป้าหมายหลักของขบวนการดังกล่าว นอกจากเพื่อต่อต้านการยึดครองประเทศโดยญี่ปุ่นแล้ว ยังทำเพื่อป้องกันมิให้ประเทศไทยต้องรับผลในฐานะผู้แพ้สงครามร่วมกับฝ่ายอักษะภายหลังสงครามยุติ ขบวนการเสรีไทยได้ทำทุกวิถีทางที่ทำให้นานาประเทศเชื่อว่าประชาชนชาวไทยมิได้เห็นด้วยกับการประกาศสงคราม และพยายามแสดงความจริงใจต่อฝ่ายพันธมิตร โดยให้ความร่วมมือทั้งทางด้านการทหารและการให้ข้อมูลข่าวกรองต่าง ๆ ท่ามกลางการสอดส่องปราบปรามอย่างเข้มงวดของกองทัพญี่ปุ่น

หลังจากประเทศญี่ปุ่นโดนทิ้งระเบิดปรมาณู สงครามโลกครั้งที่ ๒ จึงยุติลงในวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๔๘๘ นายปรีดี พนมยงค์ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และผู้นำขบวนการเสรีไทยได้ออกประกาศสันติภาพ ให้การประกาศสงครามต่อฝ่ายพันธมิตรของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นโมฆะ ประเทศไทยจึงได้รับสถานภาพเดิมก่อนสงครามกลับคืนมาและไม่ต้องตกอยู่ในสถานะผู้แพ้สงคราม ๕๐ ปีให้หลัง รัฐบาลไทยตามมติคณะรัฐมนตรีจึงได้ประกาศให้วันที่ ๑๖ สิงหาคม เป็นวันสันติภาพไทย

แม้สงครามโลกครั้งที่สองจะสิ้นสุดลง ทว่าสันติภาพไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ไฟสงครามยังคงคุกรุ่นอยู่เสมอเพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมเท่านั้น ในอดีตประเทศโลกที่หนึ่งใช้แสนยานุภาพทางการทหารที่เหนือกว่าบุกยึดครองประเทศที่อ่อนแอกว่า โดยใช้ยุทธวิธี “แบ่งแยกและปกครอง” เพื่อตักตวงทรัพยากรธรรมชาติรวมทั้งแรงงานทาส และเพื่อเป็นตลาดระบายสินค้าอุตสาหกรรมของตน แต่ปัจจุบันลัทธิอาณานิคมใหม่กลับใช้วิธีการที่แยบคายกว่านั้น โดยการที่ประเทศโลกที่หนึ่งให้กองทัพบรรษัทข้ามชาติของตนเข้ามาตักตวงวัตถุดิบ หาแหล่งแรงงานราคาถูกและตลาดระบายสินค้า ปล่อยมลพิษอุตสาหกรรมไว้ในประเทศโลกที่สาม และขนกำไรกลับสู่ประเทศตน โดยประเทศที่ถูกคุกคามแทบไม่รู้สึกตัว และถูกเกลี้ยกล่อมให้เห็นว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการพัฒนาประเทศ

“การค้าเสรี” “การพัฒนา” และ “โลกาภิวัตน์” ล้วนเป็นเครื่องมือที่ประเทศมหาอำนาจสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดภาพลวงตาว่า การยึดครองทางเศรษฐกิจของประเทศโลกที่หนึ่งต่อประเทศโลกที่สามนั้นถูกต้องและชอบธรรม แม้เราจะไม่เสียดินแดน มีเอกราชภายใต้ร่มธงไทย แต่เรากำลังกลายเป็นประเทศอาณานิคมทางเศรษฐกิจของประเทศโลกที่หนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

นอกจากเป็นอาณานิคมทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ปัจจุบันเรากำลังตกเป็นเมืองขึ้นทางด้านวัฒนธรรม ในยุคดิจิตอลที่โลกทั้งใบติดต่อสื่อสารกันเพียงปลายนิ้วสัมผัส เทคโนโลยีซึ่งเปรียบดังพันธุกรรมกำลังถ่ายผ่านวัฒนธรรมต่างชาติเข้าสู่ตัวเราทีละเล็กทีละน้อย ถ้าเราหลงลืมรากเหง้า ดูถูกภูมิปัญญาสมัยปู่ย่าตายาย อีกไม่นานเราคงถูกวัฒนธรรมต่างชาติกลืนกินเหมือนเป็นมะเร็งร้าย

สันติภาพมิใช่เพียงความสงบ รอดพ้นจากภัยสงคราม หากเป็นการปลดแอกจากสิ่งครอบงำทั้งปวง การที่ประเทศไทยจะประกาศสันติภาพได้ต้องอาศัยความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ หากคนไทยยังไม่หันหน้าเข้าหากัน ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ต่างชาติซึ่งลับมีดรอเฉือนเนื้อประเทศไทยคงกำลังยิ้มกริ่มมองเราตาเป็นมัน

หากหนทางสู่สันติภาพกำลังตีบตัน ลองหยุดคิดสักนิด หันหลังกลับไปมองประวัติศาสตร์ ศึกษาประสบการณ์จากคนรุ่นเก่าที่ใช้สติปัญญา ความสุขุมรอบคอบในการแก้ไขปัญหา และรักษาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนในชาติเป็นสำคัญ คำว่า สันติภาพ คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม! ·

หนุงหนิง


[อ่าน เรื่องจากปก ในฉบับอื่น] | [สารบัญ – ก้าวฯที่ ๑๗]

6 Responses to เรื่องจากปก – สันติภาพ

  1. สวรรค์เสก พูดว่า:

    “สันติภาพมิใช่เพียงความสงบ รอดพ้นจากภัยสงคราม หากเป็นการปลดแอกจากสิ่งครอบงำทั้งปวง”

    อะโห โอหนอ เอาแค่วรรคนี้วรรคเดียวก็สะเทือนไปสามแดนโลกธาตุแล้วล่ะตะละแม่กุสุมา-ท่านย่าติดจรวดของเกล้ากระผมขอรับ

    สันติภาพหรือขอรับ เดี๋ยวขอคิดดูก่อน อืมมมม

    มันยังมีเหลืออยู่บนโลกนี้ด้วยหรือขอรับ ผมนึกว่ามันนิพพานไปพร้อมพระพุทธองค์ หรือสิ้นชีพไปพร้อมกับการตรึงกางเขนขององค์เยซูเจ้าไปเสียแล้ว

  2. ningnung พูดว่า:

    ท่านสอฯ ข้าพเจ้าล่ะทึ่งกับความอึดในการเดินทางเร่ร่อนรอนแรมในโลกไซเบอร์ของท่านเสียจริง

    ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะที่ติดตามอ่านงานของพวกเรามาโดยตลอด เอาไว้สักวันคงมีโอกาสนิมนต์ท่านมาบรรยายธรรมให้เหล่าหนอนๆ ได้สดับตรับฟังบ้าง

  3. พุ่มฮัก พูดว่า:

    สาธุ!

  4. cotton พูดว่า:

    ถ้าไม่ได้อ่านสารคดีฉบับ พูนศุข พนมยงค์ สตรีผู้ไม่ขอรับเกียรติยศใดๆ ทั้งสิ้น ก็คงไม่ีทราบว่าวันที่ 16 สิงหาคม คือวันอะไร

    การที่ช่วงนี้ได้อ่านเรื่องของทั้งจิตร ภูมิศักดิ์และท่านผู้หญิงพูนศุขก็ทำให้ได้รับรู้ประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นอย่างละเอียดขึ้นกว่าที่เคยรู้

    สิ่งที่คิดตอนนี้ก็คือ เหมือนจะมีคนไม่มากพอที่จะหันหลังกลับไปมองประวัติศาสตร์ที่่ผ่านมา ถึงได้ปล่อยให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นกงล้อหมุนมารอบแล้วรอบเล่า

  5. โคเคน พูดว่า:

    ขอบพระคุณจ้า
    จากที่ไม่ชอบอ่านประวัติศาสตร์
    ตรงนี้ ช่วยได้เยอะเลยเจ้

  6. ศิษย์เหลน พูดว่า:

    โอเคแล้วครับศิษย์ย่า

ใส่ความเห็น