เรื่องจากปก

วันนักเขียน
ผู้เขียน : ดำรงค์ อารีย์กุล

ตั้งแต่เริ่มแรกมาเขียนหนังสือ ผมก็รู้ไปพร้อม ๆ กันหรือคล้อยหลังนิดหน่อยว่าวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปีเป็นวันนักเขียน

เขียนหนังสือไปได้สักสอง-สามปี ผมก็นึกอยากไปงานนักเขียน ซึ่งตอนนั้นจัดขึ้นประจำทุกปีที่สมาคมหนังสือพิมพ์ ตรงข้ามโรงพยาบาลวชิระ

ผมอยากไปพบไปเห็นไปทำความเคารพนักเขียนอาวุโสทั้งหลายที่ผมโตมากับหนังสือของท่าน อยากพูดคุยกับนักเขียนรุ่นพี่ที่มีชื่อเสียง

ก่อนไปงานสำคัญก็ต้องมีการเตรียมตัวกันบ้าง ผมตริตรองโดยถี่ถ้วนก็นึกได้ว่า สำนวนที่นักเขียนชอบเขียนกันตอนพบผู้ใหญ่ก็คือ “ตัวลีบ” ซึ่งเอาไปใช้ประกอบได้หลายกิริยาแล้วแต่ว่ากำลัง นั่ง ยืน หรือ เดิน เช่นนั่งตัวลีบในวงผู้ใหญ่ ยืนตัวลีบตรงหน้าคุณหลวงอะไรสักคุณหลวงหนึ่ง เดินตัวลีบตามพี่เบิ้มที่ไหนสักเบิ้มหนึ่ง

ผมก็พาตัวเองไปหน้ากระจกเงา พยายามปลุกปล้ำเคี่ยวเข็ญตัวเองในการซ้อมทำตัวลีบ พยายามอยู่สักพักใหญ่ก็เริ่มอ่อนใจว่าเอาดีทางนี้ไม่ได้ หุ่นกรรมกรขนาดแบกข้าวสารได้ทั้งกระสอบอย่างผมไม่มีพรสวรรค์ในการทำตัวลีบหากผมก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ยังคงพยายามซ้อมต่อไประหว่างเดินทางโดยขี่มอเตอร์ไซค์และไขว้เขวใช้กระจกส่องหลังของรถเป็นอุปกรณ์ช่วย และต้องอุทานคุณพระช่วยหลายหน ตอนที่เผลอละสายตาจากถนนมาพะวงชะโงกดูแต่กระจกส่องหลังสำรวจความคืบหน้าของการซ้อมทำตัวลีบ อันยังผลให้หมิ่นเหม่ต่อการพลาดพลั้งขี่มอเตอร์ไซค์มุดใต้ท้องรถสิบล้อ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะบรรลุโดยฉับพลันถึงการทำตัวลีบ แต่จะเป็นตัวลีบที่ไร้ประโยชน์ ไปไหว้ทำความเคารพใครก็ไม่ได้ ไปทำธุระของตัวเองจองศาลาวัดก็ไม่ได้ ต้องรอให้มีคนมาแซะตัวลีบ ๆ จากพื้นถนนไปทำธุระที่วัดให้ แล้วคนที่ผมตั้งใจจะไปไหว้ที่งานนักเขียนบางท่านก็ต้องสลับบทบาทมาไหว้ผมแทนที่วัด อันเป็นเรื่องผิดกาลเทศะอย่างยิ่ง

ผมจึงประคับประคองตัวขี่มอเตอร์ไซค์ไปจนถึงที่หมาย ใจยังหมกมุ่นกังวัลอยู่ว่าทำตัวลีบไม่สำเร็จแล้วจะมาพบนักเขียนผู้ใหญ่ได้อย่างไร ในตอนที่ก้าวเท้าแรกจะเดินเข้าไปในบริเวณงานนั่นเอง ที่ผมแวบคิดขึ้นได้อีกสำนวนที่นักเขียนนิยมใช้กันคือ “ย่างบาทก้าวแรก” ย่างบาทก้าวแรกสู่วงการนั้น ย่างบาทก้าวแรกสู่สังคมโน่นย่างบาทก้าวแรกเข้าหนังสือพิมพ์สำนักนู้น

และนี่อา…ผมกำลังย่างบาทก้าวแรกเข้างานวันนักเขียน…

เพียงแค่คิดท่านั้น เท้าก็สะดุดเสียหลักหกล้มซึ่งผมมาประเมินได้ในทีหลัง ว่านักเขียนระดับตะเกียกตะกายประเภทอี-คืออีลุ่ยฉุยแฉกอย่างผมในตอนนั้นบังอาจใช้ศัพท์กับตัวเองสูงเกินไป หน็อยแน่ะ-ชะหนอยหนอย ย่างบาท ชะชะ และด้วยไม่อยากเดินสะดุดเท้าตัวเองหกล้มหกลุกอีก ไม่ว่าวันนี้วันหน้าหรือวันไหนผมก็ไม่มีวันกำแหงใช้โวหาร “ย่างบาท” กับตัวเองเป็นอันขาด

ตราเอาไว้ ตราเอาไว้ได้เลยว่า ผมไปงานนักเขียนครั้งแรก ล้มเหลวทั้งเรื่องตัวลีบและย่างบาทแรก

ตลอดยี่สิบปีให้หลัง ผมไปร่วมงานวันนักเขียนทุกปีอย่างสม่ำเสมอ มีที่ขาดอยู่ก็เพียงสองครั้ง

ครั้งหนึ่งเกิดจากมีนักเขียนหนุ่มรุ่นน้องสมคบกันกับผู้หญิงที่เขารักเชื่อคำยุยงของโหรว่าวันที่ 5 พฤษภาคม เป็นวันที่เหมาะสมสำหรับคนทั้งคู่ประกอบพิธีมงคลสมรส ผมได้รับการ์ดด้วยความร้าวรานใจ รักพี่เสียดายน้อง จะทำอย่างไรได้เล่า ก็ต้องไปงานแต่งน้องแล้วก็คิดเอาไว้ในใจว่า ตราเอาไว้-ตราเอาไว้ หากผมจะแต่งงานก็ต้องมีปากเสียกับหมอดู แต่งวันไหนก็แต่งเถิด แต่อย่าให้ฤกษ์วันที่ 5 พฤษภาคม ด้วยว่าทำอย่างนั้นก็เหมือนก่อการขบถต่อสมาคมนักเขียน… กระนั้นเชียว

ที่เขียนมานี่ก็ไม่ได้จงใจว่าร้ายอะไรกับนักเขียนหนุ่มคนนั้นดอกนะครับ ตรงกันข้าม เขากลับได้สร้างอุทาหรณ์สำคัญมั่นหมายให้เป็นแบบอย่างว่า อย่าเลือกวันที่ 5 พฤษภาคมไม่ว่าปีไหนเป็นวันแต่งงาน ผมทำสำเร็จในเรื่องนี้ แต่หลานชายผู้จบดอกเตอร์ทางวิศวะ ปริญญาเอกไม่ได้รอบรู้ไปทุกเรื่อง และไม่อีโหน่อีเหน่อะไรเลยว่าวันที่ 5 พฤษภาคมสำคัญอย่างไรกับอาของเขา ได้สมคบกับคู่หมายโดยมีหมอดูชี้ชักว่า 5 พฤษภาคมเป็นวันฤกษ์ดีอีกแล้ว ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

เรื่องเล่าในงานวันนักเขียนที่ผมประสบมามีมากมายในปีหลัง ๆ บริเวณจัดงานเลี้ยงที่สมาคมนักหนังสือพิมพ์เริ่มจะคับคั่งค่าที่ปริมาณนักเขียนเพิ่มขึ้น เมื่อสี่ปีที่แล้วเมื่องานดำเนินไปได้สักพัก จนมึนตาลาย ผมเริ่มรู้สึกว่าทางที่เคยเดินผ่านโดยสะดวกมีคนเอาจานชามและแก้วมาวางเกะกะ แล้วก็มีมือมากระตุกขากางเกงผม เมื่อได้ก้มลงมองและเหลียวไปสำรวจให้ถ้วนถี่ ผมก็ประจักษ์แก่สายตาว่าได้ซุ่มซ่ามหน้ามืดตามัวเดินลุยมาในวงเหล้าวงอาหารวงใหญ่ของคนร่วมยี่สิบ

ผู้มาร่วมงานในวันนั้นมากจนโต๊ะไม่พอนั่ง นักเขียนหนุ่มสาวต้องมาตั้งวงกันที่พื้น และคงเป็นข่าวซุบซิบร่ำลือกันภายหลังด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ว่าผมผู้หลีกเลี่ยงการใช้สำนวนย่างบาทก้าวแรก แต่มาตายน้ำตื้นเดินเหยียบจานกับแกล้มและแก้วเหล้าของใครไปบ้าง

การเดินซุ่มซ่ามไปเหยียบจานกับแกล้มและแก้วในวงเหล้าสำหรับที่อื่นวงการอื่นถือว่าเป็นอนันตริยกรรมนะครับ ให้อภัยไม่ได้ แต่น้อง ๆ นักเขียนไม่ถือสาผม แล้วยังมีน้ำใจเชื้อเชิญให้ผมนั่งร่วมวง มีคนส่งแก้วให้ มีมือมาเกาะตัวเกาะเข่าคะยั้นคะยอให้ดื่ม นั่งดื่มฟังน้อง ๆ คุยกันไปสักพัก ผมก็คิดว่าควรจะไปหาอาหารและเครื่องดื่มมาเพิ่ม แต่พอผมขยับตัวจะลุกพร้อมกับแจ้งวัตถุประสงค์เหล่าน้อง ๆ นักเขียนก็ประสานเสียงปฏิเสธกันให้ขรม มือที่เกาะตัวเกาะเข่าผมก็ออกแรงแข็งขันมากขึ้น มีเสียงตะโกนขึ้นมาลอย ๆ ว่า อย่าให้พี่เขาลุกขึ้นเดินเพ่นพ่านอีกนะโว้ย จานชามบรรลัยหมด หายนะแท้ ๆ นะนั่น

จึงเป็นอันว่าผมไม่ต้องลุกขึ้นเดิน อยากได้อะไรน้อง ๆ ก็ช่วยหามาให้ ทำเอาผมตื้นตันใจ สังคมของนักเขียนแสนน่ารัก…

ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเป็นบรรยากาศในอดีตนะครับ ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วด้วยว่านายกสมาคมนักเขียนและกรรมการบริหาร ได้ขยับขยายให้งานวันนักเขียนมีขึ้นที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เพื่อรองรับปริมาณนักเขียนได้เพียงพอ ทุกอย่างพร้อมสมบูรณ์แบบ สิ่งที่ขาดหายไปบ้างก็คือโอกาสที่ผมจะได้เดินไปบนพื้นแล้วมีคนกระตุกขากางเกง

สำหรับผมแล้ว ไม่ว่างานนักเขียนปีไหนจะจัดขึ้นที่ไหนก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว มีแรงดึงดูดอันสำคัญมั่นหมายเสมือนงานรวมญาติอันขาดเสียไม่ได้

ต้องไปทุกปี

ต้องไปให้ได้

(บทความจาก Thaiwriter.org)

kaawss.jpg

2 Responses to เรื่องจากปก

  1. kaawrowkaw พูดว่า:

    สำนวนภาษาของพี่ดำรงค์ยังชวนให้อมยิ้มอยู่มิคลาย

    ทำให้เราคิดนึกว่า เราคงทั้งตัวลีบและเซ่อซ่ามากว่าพี่เป็นแน่แท้

    ด้วยมิตรภาพ
    กองบ.ก.

  2. […] เรื่องแนะนำ “วันนักเขียน” โดย ดำ… เสมือนคำนำ […]

ใส่ความเห็น