เรื่องสั้น : ผมไม่อยากเป็นนักเขียน

[เรื่องสั้น]

ผมไม่อยากเป็นนักเขียน
โดย ภีมะ ภุมรา

|

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เดิมทีผมเป็นเพียงกวีรากหญ้าหาเช้ากินค่ำกับงานประจำซึ่งไม่มีหลักประกันความมั่นคงแต่อย่างใด และเป็นที่รู้กันดีว่าค่าครองชีพในเมืองหลวงสูงมากจนน่าตกใจ แต่ก็ช่างเถอะเมื่อสมัครใจแล้วจะไม่โทษใครอะไรทั้งนั้น

สิบปีที่แล้ว ช่วงนั้นผมเพิ่งเป็นหนุ่มนมแตกพาน พอดีที่โรงเรียนมีงานรวมศิษย์เก่าขึ้น บังเอิญว่ามีศิษย์ผู้พี่ได้ขึ้นพูดในโอกาสกล่าวทักทายวิสาสะประสาพี่น้อง เป็นที่รู้กันดีว่าพี่ผู้นี้มีชื่อในงานเขียนบทกวีและเรื่องสั้นระดับประเทศ (ไม่เกินไปจริง ๆ ) ซึ่งพี่เขาก็พูดประสบการณ์พร้อมกับอ่านบทกวีเป็นแกล้มกับ เป็นลีลาบทกวีหวาน ๆ เศร้า ๆ ซึ้ง ๆ ทั้งเกี่ยวกับการจีบสาวและทะลึ่งตึงตัง พร้อมกันนั้นก็กล่าวถึงที่มาที่ไปของบทกวี คิดเอาเถิดว่าในช่วงวันหนุ่มน้อยเช่นนั้นรู้สึกว่ามีพลังภายในที่อัดแน่นอยู่อย่างไม่รู้ทางออก พอมีเรื่องมาสะกิดเกาหัวใจด้วยบทกวีเหงา ๆ เหล่านี้ทำให้รู้สึกว่ากวีนี้ยิ่งใหญ่นัก มีพลังอย่างน่าอัศจรรย์จนผมรู้สึกรู้สาว่าหวั่นไหวกับถ้อยคำจนเกิดแรงใจที่เขียนอะไรสักอย่าง ซึ่งบังเอิญอีกครั้งกับโรงเรียนมีการจัดประกวดกลอนในวาระต่าง ๆ แม้ว่าจะสับสนว่าอะไรคือกลอนอะไรคือบทกวี แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ไปกว่าการที่หนุ่มน้อยกำลังสนใจเพศตรงข้ามอย่างจริงจัง เหมือนการจีบสาวเป็นการแสดงความสามารถชายชาติอาชาไนย และการเขียนกลอนจีบสาวรู้สึกมันมีเสน่ห์อย่างเหลือร้าย ช่วงนั้นก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องล้าสมัยแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เองผมจึงขวนขวายอ่านกลอนสุนทรภู่ตามห้องสมุด เห็นกลอนที่ไหนเป็นไม่ได้ต้องอ่านต้องศึกษา เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ศึกษากลวิธีการแต่งและท่องกลอนหวาน ๆ ไว้ประดับบารมีในความเป็นหนุ่มพอกระชุ่มกระชวย

จากวันนั้นถึงวันนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ผมได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถเขียนกลอนหรือบทกวีก็เรียก ซึ่งผมไม่ได้คิดว่ากลอนหรือบทกวีมันยิ่งใหญ่กว่ากันนักหรอกเพียงแต่คำว่ากวีบทกวีดูมันเท่ดี ผมเคยเขียนกลอนจีบสาวมามากมายเหลือคณา ทั้งที่จีบเพื่อหวังผลและไม่หวังผล ทั้งเพื่อตัวเองและผู้อื่น แต่ผลตอบรับกลับต่างกัน ต่างกันอย่างบัดซบเหลือแสน อย่างไรนั่นหรือ ก็ขณะที่ผมเขียนให้เพื่อนมันไปจีบสาว อย่างว่าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อทุกวันนี้มันลูกสองแล้วครับ ทั้งที่ผมก็ไม่ได้รับอานิสงส์อะไรจากมันทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งได้แต่แสดงความยินดีกับมัน ผมยังจำชื่อกลอนที่เขียนให้มันได้เลย ชื่อ กุหลาบขาว อันที่จริงผมก็ไม่ได้เรียกร้องบุญคุณความดีอะไรหรอก เพียงแต่แอบภาวนาอยู่ลึก ๆ ว่าด้วยอานิสงส์ผลบุญนี้ขอให้สาวเขียนกลอนจีบผมบ้าง…เพราะอะไรละหรือ เพราะผมยังไม่ประสบความสำเร็จกับการเขียนกลอนจีบสาวแม้สักครึ่งคน ไม่รู้จะมีความเหงาความเศร้าอะไรหลงเหลือให้ผมได้เขียนอีก ทั้งยังไม่อยากเข้าใจอะไรอีกด้วย

หนึ่งทศวรรษผ่านมา ผมการันตีความภาคภูมิใจได้บ้างเหมือนพอลืมตาอ้าปากได้ก็ว่า ด้วยเคยส่งบทกวีไปตามนิตยสาร ปรากฏว่าได้รับการตีพิมพ์บ้าง เงียบหายกับสายลมและแสงแดดเป็นส่วนใหญ่บ้างและบ้าง แต่อย่างว่านะครับผมไม่โทษใครอะไรทั้งหมด สิ่งที่ผมภูมิใจในการได้เขียนบทกวีมันมากมายจนทำให้ผมเกิดความสงบมีสมาธิอย่างไม่น่าเชื่อ บทกวีเป็นเสมือนบ้านหลังที่สองก็ว่า ซึ่งบ้านหลังแรกผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่แห่งหนตำบลใด แต่ทุกวันนี้เมื่อมองย้อนกลับก็อดจะภูมิใจกับการเขียนกลอนไม่ได้โดยเฉพาะการเขียนจีบสาวให้เพื่อน ผมสามารถช่วยให้สัตว์โลกเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยตามอัตภาพ

ชีวิตผมไม่ได้หยุดนิ่งอยู่เพียงแค่นั้น ยังมีความท้าทายอีกมากรอผมอยู่ แม้ว่าจริง ๆ ผมจะไม่ชอบความท้าทายเพราะมันทำให้ผมสูญเสียความเป็นตัวเอง ในขณะที่พี่ ๆ เพื่อน ๆ ของผมกำลังทำในสิ่งท้าทายหลายหลาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่มันท้าทายสำหรับผมคือการเขียนเรื่องสั้นหรือนวนิยาย ซึ่งผมขอละนวนิยายไว้โดยขอลองเรื่องสั้นชิมรางไปก่อน แม้ว่าการเขียนเรื่องสั้นมันจะไม่ใช่งานที่การันตีปากท้องได้อย่างมั่นคง แต่บางขณะที่มีผลงานตีพิมพ์นั่นหมายถึงมีเม็ดเงินพอเป็นค่าขนมนมเนยหรือเครื่องดื่มเพิ่มดีกรี เหตุผลไม่มากหรอกเพียงแค่นี้มันก็ทำให้ผมไม่อาจหยุดอยู่เพียงแค่คำว่า กวีรุ่นใหม่ ผมเริ่มต้นอ่านเรื่องสั้นระดับรางวัล พยายามจับต้นชนปลาย แม้ว่ามากกว่ามากต้องบอกว่าไม่รู้เรื่อง ต้องเผลอรำพึงกับตัวเองบ่อย ๆ ว่า ช่างเขียนอะไรได้ลึกซึ้งนักหนา เข้าใจยากยิ่งกว่าอ่านพระไตรปิฎกเสียอีก อย่างไรก็ตามยังระลึกถึงถ้อยความอมตะ ความพยายามอยู่ที่ไหนความพยายามอยู่ที่นั่น ผมจึงอ่านหนังสืออย่างที่เรียกว่า บ้าหนังสือ ขณะเดียวกันก็พยายามหาพล็อตเรื่องสั้นที่จะลงมือเขียน และแล้วสวรรค์ก็ประทานแรงบันดาลใจให้ เรื่องสั้นเรื่องแรกต้องทุ่มทุนสร้างอย่างมหาศาล มันไม่ใช่เรื่องโคมลอย ไม่ใช่เรื่องเหนือจริง แต่มันเป็นเรื่องสั้นที่มีชีวิตเลือดเนื้อ ผมได้แง่มุมจากเพื่อนคนหนึ่ง ก่อนอื่นต้องบอกว่าที่จริงเพื่อนคนนี้มันก็ไม่ได้เลวระยำจนถึงกับไม่เหลือศีลสักข้อ มันก็เพียงกินเหล้าสูบบุหรี่ มันมีเมียอย่างเป็นทางการแล้ว ศีลข้ออื่นมันก็ไม่ล่อแหลมที่จะล่วงละเมิด

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ผมกับเพื่อนคนนี้ทำงานที่เดียวกันกลับบ้านเส้นทางเดียวกัน ผมเขียนบทกวี มันเขียนเรื่องสั้น มีเรื่องเกี่ยวกับหนังสือคุยกันอย่างออกรสทุกวัน ผมสามารถคุยเรื่องสั้นได้บ้างตามประสาคนอ่านมากแม้ว่าจะเขียนเรื่องสั้นมาเพียงน้อยนิดหากเทียบกับมัน แต่บทกวีมันไม่รู้เรื่องกับผมหรอก ใครต่อใครก็บอกว่าอ่านบทกวีไม่รู้เรื่อง

ด้วยต้องกลับบ้านด้วยกันทุกวัน เมื่อมันได้รู้ปัญหาอะไรของใครที่เกี่ยวข้อง มันก็จะคุยให้ฟัง มีวันหนึ่งขณะจะขึ้นรถกลับแต่มีอันต้องแยกทางกันตั้งแต่ต้นสายมันบอกว่าวันนี้ต้องไปแก้ปัญหาให้เพื่อน…ก็เท่านั้น และก่อนหน้านี้มันก็มีอะไรที่ผมสามารถปะติดปะต่อเรื่องราวที่มันคุยให้ฟังครั้งแล้วครั้งเล่า แล้ววันดีคืนดีมันก็ต้องแยกทางกับผมตั้งแต่ต้นสายอีกและบอกว่าเดี๋ยวจะไปแก้ปัญหาซึ่งเป็นปัญหาของมันเอง ผมเองรู้อยู่แล้วว่ามันเริ่มมีปากเสียงกับเมีย ผมก็ไม่เข้าข้างมันหรือเมียของมันแต่อย่างใด เพียงแต่อนุมานเอาว่าดูท่ามันกับเมียคงมีวาสนาร่วมกันเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เท่านั้นเองผมจึงผุดพล็อตเรื่องสั้นฟอร์มใหญ่ว่า ‘นักเขียนฆ่าตัวตาย’ โดยผมจะทำให้เพื่อนของผมเป็นคนเลวในลักษณะที่พยายามเขียนเรื่องสั้นอย่างหนักจนลืมเมีย แท้แล้วมีเหตุผลที่มันต้องการจะตีจากเมีย โดยสร้างเงื่อนไขเพียงว่าต้องการเป็นนักเขียน นักเขียนต้องการคำว่าอิสระ โดยที่จริงมันกำลังติดต่อสานสายสัมพันธ์กับนักอ่านสาวสวยที่หลงใหลงานเขียนของมัน

แล้วผมก็เดินเรื่องไปต่าง ๆ นานา ผมเขียนในลักษณะดึงเรื่องไปเรื่อยๆ ค่อย ๆ เผยแง่มุมของเรื่อง อาจไม่ใช่เรื่องหักมุมตอนจบเหมือนตกร่องอุกกาบาต แต่ค่อย ๆ ไขเรื่องอย่างเนิบนุ่ม เรื่องนี้ค่อนข้างน่าหวาดกลัวในเรื่องศีลธรรม โดยตัวเอกของเรื่องจะเริ่มนัดพบนักอ่านสาวบ่อยขึ้น และหลังจากเมียหลับมันก็จะเล่นเอ็มกับนักอ่านสาวอยู่เสมอ ๆ ซึ่งปัญหาแห่งความแตกแยกก็ไม่มีอะไรมากเพียงเพราะคำว่าต้องการอิสระในการเขียนหนังสือ เพียงเพราะอาศัยคำว่านักเขียนทำให้มันต้องตัดสินใจที่จะอยู่อย่างเพียงลำพังและเป็นอิสระ แม้จะเป็นเหตุผลที่เชื่อได้และเชื่อไม่ได้ แต่ในเมื่อมันตัดสินใจจะไปแล้วช้างก็ฉุดไม่อยู่ซึ่งเมียก็ตัวเล็กกว่าช้างเป็นไหนๆ เมียมันต้องอึ้งแล้วอึ้งอีกกับการสูญเสียด้วยเหตุผลเพียงน้อยนิด แม้ว่าในชีวิตจริงจะเป็นอย่างไรผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก รู้เพียงแต่ว่ามันกับเมียมีความผิดที่อยู่ร่วมกันไม่ได้คือโทษฐานที่ไม่มีความโรแมนติคเอาเสียเลย

เรื่องของเรื่องมีอยู่เพียงแค่นี้ แต่บังเอิญอีกครั้งที่ผมต้องไปพบปะเพื่อน ๆ พี่ ๆ และสาว ๆ ในการพบปะครั้งนี้สาว ๆ มากหน้าหลายตาจนตาลาย ผมคิดอยู่ลึก ๆ ว่าอาจจะได้ใช้งานกลอนจีบสาวแล้วล่ะคราวนี้ ซึ่งผมก็พอจะคุ้นเคยกับคุณเธอทั้งหลายอยู่บ้าง ที่จริงผมเขียนเรื่องสั้น ‘นักเขียนฆ่าตัวตาย’ จบแล้ว และถือมาด้วยเพื่อจะถกถามรายละเอียดกับเพื่อน ๆ จึงลองให้สาว ๆ ทั้งหลายอ่านซึ่งเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง จึงขอให้ผมชี้แจงแถลงไขไปอย่างละเอียดยิบ เมื่อแถลงการณ์จบลง คุณเธอทั้งหลายถึงกับของขึ้น รู้สึกขยะแขยงเหมือนผมเป็นไส้เดือนอย่างนั้นแหละ ทั้งยังบอกน้อง ๆ ที่สบตากันอยู่ว่าระวังให้ดีอย่าริมีฟงมีแฟนเป็นนักเขียน ผมจึงรู้สึกสนุกสนานที่จะหักมุมเรื่องสั้นใหม่โดยบอกว่า ผมทำเป็นอยากเขียนเรื่องสั้นกับไอ้เพื่อนนักเขียนเจ้าของเรื่อง โดยที่มันเป็นคนทิ้งเมียไปหานักอ่านสาวสาย ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดแทนเมียมัน พยายามทุกวิถีทางที่จะปลอบประโลมขวัญเธอตามอัตภาพ โดยมีผมเป็นพระเอกขี่ม้าขาวเข้าไปเยียวยาแทนที่นักเขียนเจ้าของเรื่อง ผมจึงขออาสาสิทธิ์ที่จะรักษาแผลใจให้เธอเองเป็นลักษณะตีท้ายครัวอย่างลงตัว และแล้วคุณเธอทั้งหลายยิ่งของขึ้นหนักเข้าไปอีกเห็นผมเป็นไส้เดือนตัวใหญ่กว่าเดิม เหมือนรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ความเป็นนักเขียนยิ่งนัก ผมจึงบอกทีเล่นทีจริงไปว่า กูเป็นกวีอย่างเดียวก็ดีแล้ว ไม่น่าสะเออะหัดเป็นนักเขียนเลย

จากค่ำคืนที่ผมเป็นไส้เดือนที่น่าขยะแขยงตัวใหญ่ ทำให้วูบความคิดหนึ่งว่าไม่น่าเลยกู ไม่น่าอยากเป็นนักเขียนเลย แต่ทำไงได้ครับแม้ว่าผมเขียนเรื่องสั้นมาไม่มากก็เถอะยังไม่เคยตีพิมพ์เลยก็ตาม แต่ผมรู้สึกสนุกสนานกับงานท้าทายชิ้นนี้เข้าแล้ว

แม้ว่าหญิงสาวที่กล่าวติงเรื่องราวล่อแหลมในเรื่องสั้นจะไม่ใช่นักเขียน แต่ก็เป็นเหมือนมุมสะท้อนที่บาดลึกสำหรับผม เหมือนเธอตั้งคำถามให้ว่า เอ็งพร้อมหรือยังสำหรับคำพิพากษาจากนักอ่าน เป็นอันว่าหากนักเขียนต้องเขียนเรื่องราวเลวร้ายล่อแหลมต่อจริยธรรมคุณธรรมสักเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ตาม นักเขียนมีสิทธิ์อย่างมากที่จะตกเป็นจำเลยโดยที่ไม่อาจแก้ตัวได้เลย

เมื่องานเลี้ยงวันนั้นเลิกรา ผมกลับมานอนมือก่ายหน้าผากทบทวนคำถามนี้คำถามที่ไร้คำตอบในการเขียนเรื่องสั้น เหมือนมีมารมาทดสอบความมั่นคงในการเขียนหนังสือ หรืออย่างไร คืนนั้นผมหลับไปในขณะที่ความคิดยังวนเวียนอยู่กับดวงตาสะอิดสะเอียนคู่นั้น ฝันไปว่าผมกำลังถูกรุมด่าจากสาว ๆ อย่างไม่มีชิ้นดี ความหวังว่าจะใช้ดวงตาหวานซึ้งสบตาเธอเป็นอันพังทลาย คุณเธอว่ากล่าวผมว่า คนอย่างนี้(เลวระยำ)ไม่น่าเขียนเรื่องสั้นให้คนอ่านเลย ผมมีปากที่ไม่อาจพูด ตกเป็นจำเลยที่มีคำพิพากษาชี้ขาดอย่างเจ็บแสบโดยไม่อาจแก้ตัว ในห้วงฝันนั้นผมคิดไปว่า พอกันทีกับการเป็นนักเขียน ชื่อเสียงเงินทองพอกันที และสะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อนที่ผมจะร้องสบถถ้อยคำอะไรออกมา…

ดวงตาผมเบิกโพลงในกลางดึก

ผมไม่อยากเป็นนักเขียนไส้เดือนตัวใหญ่ และยังไม่รู้ว่า ความฝัน ความจริง และเรื่องแต่ง จะสามารถเดินทางร่วมกันได้หรือไม่ อย่างไร…

บันไดขั้นที่สองของผมช่างลำบากลำบนอะไรมากมายป่านนี้ การหัดเป็นนักกลอนกวีไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ไม่มีใครด่าว่า ไม่มีคนเข้าใจ หลายคนอ่านบทกวีไม่เข้าใจ ผมจึงบอกไปเพียงว่าบทกวีมันลึกซึ้ง นักอ่านทั้งหลายเขาก็ยอมรับอย่างมึนงงขณะที่ผมก็งงเหมือนกัน แต่เรื่องสั้นเล่า เพียงก้าวแรกก็มีเสียงโห่แล้ว

ช่วยผมด้วย…

(สารบัญ – ก้าวฯที่๑๑.)

6 Responses to เรื่องสั้น : ผมไม่อยากเป็นนักเขียน

  1. […] เรื่องสั้น : ผมไม่อยากเป็นนักเขีย… […]

  2. jitpan พูดว่า:

    ควรให้คนอ่านกร่นด่าตัวละครในเรื่อง ไม่ใช่กร่นด่าผู้เขียนครับ

  3. joicecy พูดว่า:

    มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้าการเขียนมันหักมุม ถ้าไม่มีมุมใหม่ งานเขียนคงมีแต่ตอนจบที่สุขสมหวัง
    อย่างเดียว มันก็มีแนวเดียวสิค่ะ

  4. แมวเหมียว พูดว่า:

    รายชื่อบทกวี ถนนนัก (ขอ) เขียน ที่ผ่านเข้ารอบตัดสิน ๑๙ สำนวน

    ๑. ภาพลวงตา kero-kero
    ๒. จักรกลแห่งกานท์ โชน…เชิงคำ
    ๓. เหมือนฝนจะตก ม่วนน้อย
    ๔. ขับขานงานกวี เชษฐภัทร
    ๕. คำถามในห้วงคิด ธนา ไพศาล
    ๖. ไร้ชื่อ ม่วนน้อย
    ๗. ควานหา หทัยสินธุ
    ๘. กล่อมโลกนอน ณวบุตร
    ๙. บุหงายาวี kero-kero
    ๑๐. โลกนี้ยังสวยงามเพราะความรัก แม่จิตร
    ๑๑. เงียบเหงา เขาคุยกับความฝัน หทัยสินธุ
    ๑๒. นครไหนหรือ วิวรรธน์
    ๑๓. เมืองขายวิญญาณ อาคิราห์
    ๑๔. เสียงเรียกจากลมสายนั้น หทัยสินธุ
    ๑๕.วาง โชน…เชิงคำ
    ๑๖. กวี คมเย็น
    ๑๗. เมื่อดักแด้คิดว่ามันกำลังจะตาย จัสมิน
    ๑๘. แด่นักการเมือง ณซบุตร
    ๑๙. ร้าง thara
    สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่
    http://www.praphansarn.com/new/c_other/5.asp

  5. แมวเหมียว พูดว่า:

    โครงการ Chommanard Book Prize

    หลักการและเหตุผล

    วรรณกรรมของไทยในปัจจุบันมีหลากรูปแบบและหลายประเภท งานวรรณกรรมที่มี

    เรื่องราวเกี่ยวข้องกับผู้หญิงนั้น นวนิยายเป็นวรรณกรรมอีกประเภทหนึ่งที่ผู้อ่านให้ความสนใจ

    ทั้งนี้เพราะผู้อ่านหนังสือส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ดังนั้นหนังสือที่ผู้หญิงเลือกอ่านจึงมีงานวรรณกรรมประเภทนวนิย ายรวมอยู่ด้วย วรรณกรรมประเภทนี้สะท้อนมุมมอง ทัศนคติ และตัวตนของผู้หญิง

    ในหลายแง่มุม ตลอดจนมีเนื้อหา สาระ ความรู้ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อตัวผู้หญิง วรรณกรรมที่เกี่ยวข้องและสะท้อนมุมมองของผู้หญิง จึงเปรียบเสมือนการพยายามทำความเข้าใจในตัวตนของผู้หญิงในอีกมิ ติหนึ่ง โครงการ Chommanard Book Prize จึงเกิดขึ้นมาจากการเล็งเห็นถึงความ

    สำคัญของการสืบสายธารนวนิยายชั้นดีเพื่อผู้หญิง เช่น “ดอกไม้สด” และ “ก.สุรางคนางค์” ที่เริ่มบุกเบิกไว้เมื่อหนึ่งศตวรรษที่แล้วเป็นต้นมา และต้องการเปิดโอกาสและให้กำลังใจนักเขียนสตรีที่มีพื้นที่อยู่ ก่อนแล้วในเชิงปริมาณ มาเป็นการเน้นผลงานสร้างสรรค์เชิงคุณภาพมากขึ้น โดยนักเขียน

    สตรีไทยสามารถเขียนนวนิยาย เพื่อกลุ่มเป้าหมายนักอ่านที่เป็นผู้หญิงได้ทั้งชาวไทยและชาวต่ าง

    ประเทศเป็นกรณีพิเศษ

    วัตถุประสงค์

    1. เพื่อเป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ชั้นเลิศ

    2. เพื่อส่งเสริมรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยมของนักเขียนหญิง

    3. เพื่อสร้างเสริมและเผยแพร่ผลงานเขียนของผู้หญิงไทยสู่ระดับชาติ และนานาชาติ

    ประเภทของงานเขียนที่รับพิจารณาในปี 2550

    นวนิยาย (Novel) ที่สร้างสรรค์อย่างเป็นเลิศ และประณีตเพื่อที่จะแปลและพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ เผยแพร่ไปทั่วโลกได้โดยนักเขียนสตรีไทย

    องค์กรรับผิดชอบ

    บริษัท สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น จำกัด ร่วมกับบริษัท บีทูเอส จำกัด ผู้บริหารร้านบีทูเอส ทั่วประเทศ ในเครือเซ็นทรัลรีเทล

    กติกาในการส่งผลงานเข้าร่วมประกวด

    1. เป็นนวนิยายที่แต่งขึ้นใหม่ โดยสร้างสรรค์เป็นภาษาไทย และผลงานต้องไม่เคยส่งประกวดหรือจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบใด ๆ มาก่อน รวมถึงสื่ออินเทอร์เน็ต หากมีการตรวจพบภายหลังผู้ส่งจะถูกตัดสิทธิ์การประกวดและมีผลถึง การพิจารณาการส่งเข้าประกวดครั้งต่อไป

    2. มีความยาวของเรื่องไม่ต่ำกว่า 80 หน้ากระดาษ A4 ทั้งต้นฉบับและสำเนา ( ขนาดตัวอักษร 14 point 5 ชุด และขนาดตัวอักษร 16 point 1 ชุด ) พร้อมกับแผ่นดิสก์ คณะกรรมการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ส่งผลงานเข้าประกวดทุกสำเนาคืน (รวมถึงสำเนาต้นฉบับ) ไม่ว่าจะได้รับรางวัลหรือไม่ก็ตาม

    3. ไม่ได้ลอกเลียนหรือดัดแปลงจากเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หากมีการลอกเลียน ดัดแปลง หรือละเมิดลิขสิทธิ์ ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจะถูกตัดสิทธิ์จากการประกวด และต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบทางกฎหมายโดยลำพัง

    4. ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดมีสิทธิ์ส่งผลงานได้เพียง 1 เรื่อง

    5. ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดจะต้องมีชีวิตอยู่ขณะที่ส่งผลงาน

    6. กรณีใช้นามปากกาหรือนามแฝง ผู้ส่งผลงานเข้าประกวดต้องแจ้งชื่อ นามสกุลจริง ที่อยู่และหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก

    7. ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นถือสิทธิ์ในการจัดพิมพ์และเผยแพร่เป็นแ ห่งแรก ทั้งฉบับที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยจะอยู่ในสัญญาลิขสิทธิ์เป็นระยะ

    เวลา 5 ปี

    จะมีรางวัลชมเชยจำนวน 2 รางวัล จากนวนิยาย 5 เรื่องสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะ กรรมการตัดสิน

    การตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นเด็ดขาด

    8. คณะกรรมการไม่รับพิจารณาผลงานที่ส่งเข้าประกวดของพนักงานบริษัท และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

    9. หากมีการตัดสินให้มีผลงานที่ได้รับรางวัลนอกเหนือจากรางวัลที่ไ ด้กำหนดไว้ สำนักพิมพ์ขอสงวนสิทธิ์ในการเป็นผู้จัดพิมพ์และเผยแพร่ ทั้งนี้บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการมอบรางวัลชนะเลิศหรือไม่ก็ได้ กรณีผลงานที่ส่งเข้าประกวดไม่ผ่านมาตรฐานการตัดสินของคณะกรรมกา ร

    10. ทางบริษัทฯ ขอสงวนสิทธิ์การจัดพิมพ์เรื่องที่เข้าประกวดทุกเรื่องก่อนสำนัก พิมพ์อื่น โดยทางบริษัทฯจะยินดีจ่ายค่าลิขสิทธิ์ตามสัญญาลิขสิทธิ์อันเป็น มาตรฐาน

    สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่

    http://www.praphansarn.com/new/forum/forum_posts.asp?TID=6563&PN=1

ใส่ความเห็น