ขอสบตาเธออีกเพียงครั้ง

sungkombook.jpg

 ชีวิตน้องใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย มันช่างสดใส มีชีวิตชีวา เหลือเกิน

ฉันได้รู้จักผู้คนมากมาย ฉันได้พานพบกับชีวิตในอีกด้าน

ด้านที่ไม่มีพ่อแม่มาคอยจับตามอง

ฉันมีอิสระที่จะกำหนดทิศทางชีวิตในแบบที่ฉันต้องการ

เมื่อแรกฉันอยู่ ‘หอใน’ ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้

ฉันอยู่ได้ไม่นานหรอก ฉันอยากย้ายออกไปอยู่ ‘หอนอก’

ฉันเอียนกับกฏระเบียบร้อยแปดที่นักศึกษา ‘หอใน’ ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

มันตีกรอบจนทำให้ฉันอึดอัด

ฉันโทรฯทางไกลไปชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อให้พ่อแม่จำนนต่อเหตุผลและยอมให้ฉันย้ายไปอยู่ ‘หอนอก’ ได้ตามต้องการ และฉันก็เป็นฝ่ายชนะ

**********

ชีวิตเมื่ออยู่ ‘หอนอก’ ทำให้ฉันได้รู้จักกับรุ่นพี่คนหนึ่ง พี่เขาอยู่ชั้นบนถัดจากชั้นที่ฉันอยู่ไปเพียงชั้นเดียว ฉันอยู่ชั้นสาม พี่เขาอยู่ชั้นสี่

ครั้งแรกที่เราได้เจอกัน ตอนนั้นฉันจำได้ว่า ฉันกำลังเดินหิ้วถุงขยะลงไปทิ้งข้างล่างตึก ด้วยความทุลักทุเล เราบังเอิญเจอตรงขั้นบันไดชั้นสอง เมื่อเห็นว่าฉันทำท่าจะหิ้วถุงขยะไปไม่รอด พี่เขาจึงยื่นมือมาช่วย รับถุงขยะจากมือฉัน แล้วเราก็เดินลงไปทิ้งขยะชั้นล่างด้วยกัน และหลังจากนั้นเราก็เริ่มสนิทกัน

มากขึ้น มากขึ้น  และมากขึ้น

พี่เขาดีกับฉันมาก

ฉันมีเพื่อนไม่มากนัก จนแทบจะไม่มีเพื่อนเลย

ผู้คนมากมายแต่ฉันรู้สึกว่าคนพวกนี้ได้โอกาสมาได้อย่างไร ทำไมคนพวกนี้ใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยไปอย่างสิ้นเปลือง

คนพวกนี้ห่วงสวย ห่วงหล่อ มากกว่าห่วงเกรดที่จะออกมาตอนปลายภาคเรียน

ฉันเป็นคนนอกสำหรับพวกเขา

ยกเว้นพี่เขาคนเดียว ที่ดีกับฉับ คอยเป็นห่วงเป็นใยฉัน

พี่เขาช่วยเหลือฉันดีกว่าพี่รหัสแท้ๆของฉันเสียอีก

ฉันตกหลุมรักพี่เขาเข้าแล้วล่ะ

**********

เรารู้จักกันมานานเท่าไรแล้วนะ ตอนนี้ฉันก็จะขึ้นปีสองแล้ว

แต่ช่างมันเหอะ ฉันขอเพียงวันนี้และวันต่อไป ฉันจะมีพี่เขาอย่างนี้ไปจนตลอด

**********

วันนี้ไม่รู้พี่เขาคิดอย่างไรชวนฉันให้ขึ้นไปหาเขาที่ห้องของเขาตอนห้าทุ่ม

เลิกเรียนฉันกลับมาที่ห้องด้วยความกระวนกระวายใจ ฉันจะทำอย่างไรดี

พี่เขาอาจจะสารภาพรักกับฉัน อาจจะค่อยๆ  โน้มตัวลงมาจูบฉันอย่างแผ่วเบาที่ริมฝีปาก หลังจากที่บอกรักฉันแล้ว

ฉันควรทำอย่างไรดี ฉันสับสนเหลือเกิน

“เธอรักเขาไหมล่ะ” เสียงหนึ่งจากห้วงภายในทำให้ฉันหยุดคิด

“รัก” ฉันตอบโดยไม่ลังเล

“งั้นจงยอมทำตามที่เขาปรารถนา แล้วเธอจะได้รัก ตามที่เธอต้องการ”

ฉันตาสว่าง อย่างนั้นฉันต้องเตรียมตัว

ฉันเดินลงไปที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างตึก

ฉันได้ถุงยางอนามัยมาสองกล่องติดมือมาเมื่อกลับถึงห้องอีกครั้ง

ฉันเตรียมอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้สะอาดผุดผ่อง เทียบเท่าพรมจารีย์ที่ฉันรักษาไว้อย่างหวงแหนมาเนิ่นนาน

หลังอาบน้ำ ฉันพรมน้ำหอมกลิ่นรัญจวนใจ

ฉันพร้อมแล้ว–

เวลานัดหมายเดินมาถึง

ฉันเปิดประตูแล้วก้าวเดินออกไป

“ฉันพร้อมแล้ว ฉันพร้อมแล้ว” ฉันท่องประโยคเหล่านี้ในทุกย่างก้าวจนกว่าจะถึงที่หมาย

ฉันเคาะประตูห้องของพี่เขาโดยไม่ลังเล

หากแต่ไม่ใช่พี่เขาเป็นคนมาเปิด

ผู้หญิงหน้าสวย หุ่นดี พันกายด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กจนแทบปิดอะไรไม่มิด เป็นคนมาเปิด

ฉันจำได้ผู้หญิงคนนี้ เป็นรุ่นพี่ที่เรียนคณะเดียวกับพี่เขา

“แล้วหล่อนมาทำอะไรที่นี่” คำถามผุดขึ้นภายในใจ

“เข้ามาก่อนจ้ะ พี่เขากำลังอาบน้ำ” หล่อนเชื้อเชิญ

ไม่รู้ว่าอะไรบังคับให้ขาฉันย่างเหยียบเข้าไปในห้องนั้น แล้วรอคอยพี่เขา

**********

ฉันหลับตอนไหนไม่รู้ อากาศช่างเย็นเยียบเหลือเกิน

ลมกรรโชกแรงเมื่อฉันตื่น ฉันนอนขดอยู่บนพื้นซีเมนต์บนชั้นดาดฟ้า

“พี่รักเราแบบน้องสาว พี่สงสารเรา ที่ไม่มีใครคบ”

“พี่มีแฟน เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ก็เหมือนคู่ผัวเมียนักศึกษาอื่นๆ”

“พี่รู้ว่าเราคิดยังไงกับพี่ พี่ลำบากใจนะ”

“เลิกคิดแบบนั้นกับพี่ได้ไหม ถ้าเลิกคิดแบบนั้นกับพี่ไม่ได้ พี่ว่าเราอยู่ห่างๆกันก่อนดีกว่า”

“จนกว่าเราจะคิดยอมรับได้ จนกว่าจะถึงเวลาเรานั้นเราอย่าเจอกันเลยนะ”

ถ้อยคำเหล่านี้ ดังสะท้อนก้องกังวานอยู่ในหูของฉันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว–

ฉันลุกขึ้นยืนดูนาฬิกาข้อมือ ถึงเวลาแล้วสินะ

ฉันหันหน้าหาดาดฟ้า ปล่อยส้นเท้าเลยออกนอกชายขอบอาคารอย่างหมิ่นเหม่

ทุกวันในเวลานี้พี่เขาจะออกมาที่ระเบียงเพื่อซึมซับบรรยากาศยามเช้า

จุดที่ฉันยืนอยู่มันตรงกับระเบียงห้องของพี่เขาพอดี

ฉันคงทำใจให้เลิกรักพี่เขาไม่ได้

ฉันขอสบตากับเขาอีกเพียงสักครั้ง ก่อนฉันจะตาย

ฉันทิ้งตัวเองลงมาจากดาดฟ้า…

แล้วฉันก็สมหวัง

**********

ไอซ์

4 Responses to ขอสบตาเธออีกเพียงครั้ง

  1. ท่านมองเรื่องราวแต่ละเรื่องได้อย่างมีมิติ…

    เขียนต่อไปครับผม

  2. หมี่เป็ด ขวัญใจคนเดิม พูดว่า:

    งานเขียนที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานเขียนประเภทวรรณกรรม แม้ว่าจะเป็นงานของนักเขียนมีชื่อหรือไม่มีชื่อก็ตาม

    สิ่งสำคัญคือมุมมองและทัศนะ

    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในงานนั้นนอกจากมุมมองและทัศนะที่ควรเป็นในงานแล้ว การสะท้อนภาวะของตัวละครมันควรจะบอกว่าเราใช้ความคิดมากกว่าใช้อารมณ์โรแมนติกพาไป

    จะพูดยังไงดีหว่า

    เอาเป็นว่า เรื่องนี้น่าจะ “หนัก” และ “หน่วง” กว่านี้ เพราะเดินเรื่องมาด้วยกระแสสำนึก

    แต่ข้อบกพร่องนั้น อ่านตอนแรกคิดว่าคัวเอกเป็นผู้ชาย เพราะจากท่อนนี้ “ฉันเดินลงไปที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างตึก

    ฉันได้ถุงยางอนามัยมาสองกล่องติดมือมาเมื่อกลับถึงห้องอีกครั้ง”

    ฉะนั้น- “พี่” รุ่นพี่คนนั้นจึงน่าจะเป็นผู้หญิง

    แต่คนที่มาเปิดประตูกลับเป็นผู้หญิงด้วยกัน แต่มันมีความขัดแย้งอยู่ตรงที่ “ลมกรรโชกแรงเมื่อฉันตื่น ฉันนอนขดอยู่บนพื้นซีเมนต์บนชั้นดาดฟ้า

    “พี่รักเราแบบน้องสาว พี่สงสารเรา ที่ไม่มีใครคบ”

    “พี่มีแฟน เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว ก็เหมือนคู่ผัวเมียนักศึกษาอื่นๆ””

    เราจะสรุปได้ว่าตัวเอก “ฉัน” ในเรื่อง เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? และ”พี่”มีแฟนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเลสเบี้ยนหรือทอมดี้? ด้วยคนที่มาเปิดประตูให้เป็นผู้หญิงในชุดผ้าขนหนู

    และเพียงแค่นี้ มันไม่น่าจะทำให้ “ฉัน” ถึงกับคิดฆ่าตัวตายได้เลย ด้วยเรื่องไม่ได้ชักนำพาให้คนอ่านเชื่อว่า “ฉัน” รู้สึกหนักมากจนน่าจะฆ่าตัวตายได้

    งานโรแมนติกคืองานที่พยายามจะดึงคนอ่านให้ร่วมในอารมณ์ความรู้สึก แก่นเรื่องจะเป็นไปในท่วงทำนองของงานเพ้อฝัน แต่งานโทกสกุลก็ต้องมีเหตุผลมารองรับตัวละคร ไม่เว้นแม้แต่งานแนวเหนือจริง

    ขึ้นเรื่องมาด้วยกระแสสำนึก(ในท่อนที่ ๒ ) น่าจะใช้มันเดินเรื่องจนจบ เพราะจะง่ายต่อการวิพากษ์และอธิบายความคิดเรา

    // ถือวิสาสะวิจารณ์นะ เพราะไอซ์เคยบอกว่าอยากให้พี่อ่านและวิจารณ์

  3. parchya พูดว่า:

    ยินดีครับพี่

    และ

    ขอบคุณครับผม

  4. tuleedin พูดว่า:

    ขอบคุณด้วยคนขอรับ

ส่งความเห็นที่ อานันท์ ประทีปะจิตติ ยกเลิกการตอบ