หยดน้ำผึ้งที่ปลายไม้ : กีรติ
ขยับเบียดกายกอดให้แนบติด
อุ่นสายเลือดแนบสนิทจิตรมิหาย
ฝ่าลมฝนที่กระหน่ำย่ำใจกาย
อีกน้ำลายฟอนเน่าที่เผาทรวง
ด้วยกำลังมีน้อยจึงค่อยเริ่ม
มิอาจเหิมเกริมกระหยิ่มลิ้มคำหวง
เจริญรอยย่างย่ำเท้าทั้งปวง
มิอาจล่วงเลยล้ำเยี่ยงชาตรี
จะคิดอ่านการก่อต้องติดหลัก
หยุดชะงักตรวจทานผลาญศักดิ์ศรี
มีเกียรติก่อมิย่นย่ออิสตรี
มิอาจหนีถอยก้าวจักเดินไป
ความเป็นคนขีดแบ่งที่เครื่องเพศ
หรือวัดกันที่พระเดชจากถิ่นไหน
ด้วยอำนาจบารมีจึงมีชัย
เหยียบหัวใจให้มิดเท้าอยู่เช่นนี้
ประคองกอดลูกน้อยเจ้าพริ้มหลับ
ตะวันลับบอดมืดหมดราศี
ดาราเอยจึงมีค่ายามราตรี
นี่หนาที่เปรียบไว้ให้ได้ยิน
ในยามมืดไร้ที่พึ่งจึงเห็นค่า
แสงที่ว่าจากดวงดาวพราวแสงหิน
ใช่เม็ดกรวดที่จมหายระแหงดิน
เปรียบดั่งเช่นคุณสตรีนี่เช่นกัน
ใครน่ะหรือที่กอดร่างเจ้าลูกรัก
ใครน่ะหรือที่ฟูมฟักเจ้ายอดขวัญ
เจ้าลูกชายหมายสร้างเจ้าทุกคืนวัน
ให้เจ้านั้นมองเห็นค่าของนารี
แล้ววันหนึ่งชายเช่นเจ้าจะได้รู้
อย่าได้ขู่หยามเหยียบเพศอิตถี
นั่นเพศเดียวกับแม่เพศสตรี
ล้วนต่างมีค่าคุณเท่าเจ้ายอดชาย
อันเพียงร่างที่มิอาจต้านทนกิจ
แต่ใจจิตรมั่นแกร่งมิแหนงหน่าย
จึงได้ชื่อว่าแม่ใช่เพียงกาย
นี่คืองานที่ผู้ชายไม่อาจครอง
ขยับเบียดกายกอดให้แนบติด
อุ่นสายเลือดแนบสนิทจิตรทั้งสอง
แม่จะสอนบ่มให้เจ้าอย่าลำพอง
ชายหญิงต้องมองเห็นค่ากันและกัน.
…
แด่วันสตรีสากล 8 มีนาคม
พระคุณใดไหนเล่าเท่าคุณแม่
นับตั้งแต่อุ้มท้องต้องหมองศรี
ทรมานเก้าเดือนเหมือนเก้าปี
คุณแม่นี้ลูกบูชาเท่าฟ้าดิน
อันพระคุณใดๆ ในพิภพ
ยังรู้จบแจ้งคำมาขับขาน
พระคุณแม่เลิศกว่าสุทาธาร
ขอกราบกรานคุณแม่ด้วยแดดวง
(ผมจำมาจากไหนมะรู้ มีบางคำมั่วๆ ไปด้วย อย่าถือสากระผมนะครับ)
แม้ไม่สันทัดบทกวี ทว่า สัมผัสได้ถึงความงดงาม
เยี่ยมจัง
เป็นประเด็นที่ทั้งถกและเถียง ได้อย่างไม่เคยตกยุค
บุรุษ อิสตรี
เห็นไหม ผมยังใช่คำว่าบุรุษ นำหน้า อิสตรี ก่อนเลย
ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนนะคะ